21.4.53

“หมูสะระแหน่” รสแซ่บ ซี๊ดซ๊าด !!!



แม้ว่าวันนี้จะผ่านวันปีใหม่มาแล้ว แต่ก็ถือว่าได้ฤกษ์อวยชัยให้พรกันแล้ว
สำหรับปีนี้“กุ๊กเล็ก”ก็ขอ อวยพรให้มิตรรักนักกินทั้งหลาย อย่าได้เจ็บ อย่าได้จน คิดอะไรก็ขอให้ทำได้อย่างที่คิด
มื้อนี้ “กุ๊กเล็ก” ก็เลยเลือกเมนูกับแกล้มธรรมดาๆที่ไม่ธรรมดา มานำเสนอแก่แฟนๆคอลัมน์
หมู สะระแหน่ คือเมนูที่เรานำเสนอในช่วงนี้

สำหรับเครื่องปรุง ก็ประกอบด้วย
เนื้อหมูตรงส่วนคอ 4 ขีด
กระเทียมโทนแกะ เปลือกสับหยาบๆ 1/4 ถ้วยตวง
น้ำมะนาว(น่าจะคั้นเอง) 1/4 ถ้วยตวง
น้ำ ปลาดี 1/4 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูหั่นฝอย 8-10 เม็ด
สะระแหน่,แตงกวา,มะระ


เมื่อได้เครื่องปรุงแล้ว ก็ลงมือทำกันเลยดีกว่า?!?
เริ่มแรกหั่นเนื้อหมูชิ้นขนาดพอคำ ลวกแค่สุกพองาม
จากนั้นก็เป็นการทำน้ำปรุง โดยใส่น้ำปลา น้ำตาล น้ำมะนาว คลุกเคล้าให้เข้ากัน
โดยให้รสออกเปรี้ยวนำเล็กน้อย เมื่อได้ที่ก็ใส่พริกขี้หนูลงไป

นำแตงกวาหั่นเป็นแผ่นบางๆ
ส่วน มะระให้เอาไส้ออก แล้วหั่นตามขวางเป็นแว่น ๆ ล้างน้ำเกลือเพื่อช่วยลดความขม
เสร็จ สรรพนำน้ำปรุงราดบนเนื้อหมูแล้วคลุกให้เข้ากัน จากนั้นโรยด้วยกระเทียม ใบสะระแหน่
โดยเสิร์ฟ แตงกวามะระเป็นผักแกล้มเพื่อใช้ความจืดและขมสยบความเผ็ด
ก็เป็นอันได้ หมูสะระแหน่ ที่ให้รสแซ่บ กินจี๊ดจ๊าด ซี๊ด ซ๊าด ปาก

ทั้งนี้ ใครจะกินหมูสะระแหน่เป็นกับแกล้มหรือกับข้าว ก็ถือว่าเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง


โดย กุ๊กเล็ก
ที่มา : http://www.manager.co.th

ต้อนรับปีหมูกับ “หมูสับปะรด”

เพิ่งจะเริ่มต้นปีใหม่ไม่ทันไรกรุงเทพฯก็วุ่นวายด้วยเรื่องระเบิดมีทั้งคนเจ็บคนตาย เห็นแล้วก็อดรู้สึกหดหู่ไม่ได้ หรือปีนี้จะเป็นปีหมูดุอย่างเขาว่ากันจริงๆ ก็ได้แต่หวังว่าเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบจะรีบหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้โดยไว ส่วน "กุ๊กเล็ก"ก็ขอแก้เคล็ดปีหมูด้วยการกินหมูซะเลย จากหมูดุจะได้กลายเป็นหมูทอง ด้วยเมนู "หมูสับปะรด"

เครื่องปรุง

เนื้อหมูส่วนสันนอก 1/2 กิโลกรัม
เกลือป่น 1 ช้อนชา
พริกไทยป่น 1/4 ช้อนชา
ผงปรุงรส 1/4 ช้อนชา
ไข่ไก่ตีพอแตก 1 ฟอง
สับปะรด 1/2 ผลเล็ก
ผงขนมปังป่น 1/2 ถ้วยตวง
น้ำมันพืช

วิธีทำ

เริ่มจากนำเนื้อหมูมาหั่นเป็นแนวขวางให้หนาประมาณ 2 เซนติเมตร จะได้เนื้อหมู 4 ชิ้น แต่ละชิ้นกรีดตรงกลางชั้นให้เป็นร่อง จากนั้นผสมเกลือ พริกไทย และผงปรุงรสเข้าด้วยกัน จากนั้นนำ สับปะรดมาปอกแล้วฝานเป็นแว่นแบ่งครึ่ง คว้านเอาแกนออก แล้วสอดชิ้นสับปะรดใส่ร่องเนื้อหมูที่กรีดเตรียมไว้ ใช้ไม้กลัดหรือไม้จิ้มฟันเสียบปากร่องอย่าให้ชิ้นสับปะรดหลุดได้

ตั้งกระทะใส่น้ำมันมากๆใช้ไฟปานกลาง เมื่อน้ำมันร้อนนำชิ้นหมูลงชุบไข่ แล้วเกลือกด้วยผงขนมปังป่น ทอดจนเนื้อหมูสุกและเหลืองดีทั้ง 2 ด้าน ตักขึ้น ให้สะเด็ดน้ำมันกินคู่กับข้าวสวยร้อนๆหรือเสิร์ฟกับมันฝรั่งทอดแบบเฟรนช์ฟรายก็ได้


โดย กุ๊กเล็ก
ที่มา : http://www.manager.co.th

กลมกล่อม หอมมันกับ หลนเต้าเจี้ยว

หลนเต้าเจี้ยว รสชาตกลมกล่อมหอมกะทิ
ผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับมหกรรมกินไก่โชว์จากนายกฯทักษิณ ที่งานนี้ขนทั้งดาราและ ส.ส.อีกเพียบ มาช่วยกันเพิ่มความมั่นใจให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลาย ด้วยการกินไก่โชว์ที่ท้องสนามหลวง คาดว่างานนี้คงจะเพิ่มความมั่นใจให้ชาวไทยให้หันกลับมากินไก่กันอีกครั้ง หลังจากที่หวาดกลัวจนแทบจะไม่มองหน้ากัน(ไก่)ไปเลย

เป็นห่วงก็แต่ท่านนายกฯเท่านั้น ที่เสร็จงานนี้แล้วไม่รู้ว่าน้ำหนักจะพุ่งพรวดไปถึงเท่าไหร่ เพราะเดินสายกินไก่โชว์บ่อยเหลือเกิน อีกอย่างคอเรสเตอรอลก็ไม่เข้าใครออกใครด้วย

เมนู กุ๊กเล็ก”มื้อนี้ เลยขอสวนทางกับกระแสซะหน่อย โดยเราจะมาทำ “หลนเต้าเจี้ยว”ที่นอกจากจะเป็นอาหารไทยๆที่คุ้นลิ้นกันเป็นอย่างดีแล้ว ยังจัดได้ว่าเป็นอาหารที่อุดมด้วยประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนจากเต้าเจี้ยวขาวและเนื้อหมูบด กินกับผักสดต่างๆที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกาย

อารัมภบทกันมามากแล้ว เรามาเตรียมเครื่องปรุงกันดีกว่า

เนื้อหมูบด ½ ถ้วยตวง
เต้าเจี้ยวขาวโขลกละเอียด ¼ ถ้วยตวง
กะทิ 1 ½ ถ้วยตวง
พริกชี้ฟ้าเขียว แดง เหลือง หั่นแว่น อย่างละ 1 เม็ด
ผักชีเด็ดเป็นใบ 1 ต้น
หอมแดงซอย ¼ ถ้วยตวง
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะขามเปียก 1 ช้อนโต๊ะ
ผัดสด เช่น มะเขือเปราะ ขมิ้นขาว ถั่วฟักยาว แตงกวา หัวปลี

เตรียมเครื่องปรุงเสร็จแล้ว จะรอช้าอยู่ใย เรามาลงมือทำกันเลย

ขั้นแรก ตั้งหม้อกะทิให้เดือดด้วยไฟกลาง ใส่เต้าเจี้ยวคนให้เข้ากัน รอให้เดือดอีกครั้งจึงใส่เนื้อหมูคนให้กระจายทั่วๆ ใส่หอมแดง

จากนั้นปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียกและน้ำตาล คนให้เข้ากัน ใส่พริกชี้ฟ้า รอจนเดือดอีกครั้งแล้วยกลง

พอสำเร็จเสร็จสรรพตักใส่ถ้วย โรยใบผักชี รับประทานกับผักสดต่างๆที่เตรียมไว้

เพียงเท่านี้ก็จะได้ “หลนเต้าเจี้ยว”รสชาติกลมกล่อม ที่เอาไว้ราดข้าวสวยร้อนๆ ก็อิ่มท้องสบายๆไปอีกหนึ่งมื้อ


โดย กุ๊กเล็ก
ที่มา : http://www.manager.co.th

“หลนเนื้อเค็ม” อร่อย หอมมัน

ด้วยความที่คนไทยเราช่างคิดช่างทำในการปรุงอาหาร จึงทำให้เรามีเมนูเด็ดๆ ให้ลิ้มลองอย่างหลากหลาย

ก็แค่ “การหลน” อย่างเดียว ก็สามารถดัดแปลงของกินธรรมดาๆให้น่ากินขึ้นมาได้ทันใด อย่างเช่น หลนเต้าเจี้ยว หลนปลาร้า หลนเต้าหู้ยี้ ฯลฯ ซึ่งปกติแล้วของเหล่านี้ทั้งกลิ่นและหน้าตาอาจจะไม่น่าพิสมัยนัก แต่พอปรุงรสทำนู่นทำนี่ ก็กลับกลายให้มีกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอได้

“กุ๊กเล็ก” เองก็หลงใหลอาหารจานหลนอยู่มิใช่น้อย เพราะนอกจากรสชาติจะถูกลิ้นแล้วยังกินได้กับสารพัดผักอีกด้วย คราวนี้ก็เลยจะชวนแฟนานุแฟนมาทำหลนกัน แต่เพื่อความแปลกใหม่ไม่ซ้ำแนวเดิม จึงขอนำเสนอ “หลนเนื้อเค็ม” ซึ่งรับรองว่าทำได้ง่ายมากๆ ว่าแล้วก็เข้าครัวไปบรรเลงฝีมือทำพร้อมๆ กันเลยดีกว่า

ส่วนผสม

เนื้อเค็มแดดเดียวทอดหั่นชิ้นบางๆ 1 ขีด
กะทิสด 1 ถ้วย
หอมแดง 2-3 หัว
ตะไคร้หั่นฝอย 1 ต้น
ใบมะกรูดหั่นฝอย 3-4 ใบ
น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 2 ช้อนชา
พริกขี้หนูสด 4-5 เม็ด


วิธีทำขั้นแรกก็ต้มกะทิสดให้หอม แล้วนำเนื้อเค็มที่ทอดและหั่นชิ้นบางๆ ไปเคี่ยวกับกะทิจนเนื้อนุ่ม จากนั้นใส่ตะไคร้ หอมแดงซอย และใบมะกรูด ลงไปเคี่ยวให้หอมและเข้าเนื้อ ปรุงรสในขณะที่ตั้งไฟ ด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ และพริกขี้หนูสดให้ได้รสชาติ เปรี้ยว หวานนำ และเค็มตาม ส่วนความเผ็ดแล้วแต่ชอบ

มีเคล็ดลับในการหลนอย่างหนึ่งว่าควรจะใช้ไฟอ่อนๆ ไม่ใส่กะทิมากเกินไป และในขณะที่หลนก็ต้องสังเกตดูปริมาณกะทิไม่ให้แห้งจนเกินไป แต่ถ้าแห้งก็สามารถที่จะเติมน้ำหรือกะทิเพิ่มลงไปได้ ซึ่งเมื่อกะทิงวดได้ที่ก็โรยใบมะกรูดหั่นฝอยและพริกขี้หนูปิดท้าย พร้อมเสิร์ฟกินกับผักสดต่าง ๆ อย่าง ขมิ้นขาว แตงกวา มะเขือเปราะ และผักกาดหอม แค่นี้ก็เป็นอันว่าได้หลนเนื้อเค็มจานเด็ดแล้ว



โดย กุ๊กเล็ก
ที่มา : http://www.manager.co.th

กลมกล่อมครบรสไปกับ “หลนปูเค็ม”/

เคยได้ยินกันบ้างไหมคำที่ว่า เสน่ห์ปลายจวัก ของหญิงไทยที่สามารถผูกมัดใจชายได้ทุกยุคยุคสมัยนั้นคือความเป็นแม่ศรีเรือนอาจจะไม่ต้องทำอะไรเป็นหมดทุกอย่างแค่บ้างอย่างก็ทำให้ชายลุ่มหลงได้นักต่อนักแล้วอย่างการทำอาหารกับ “กุ๊กเล็ก” ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำง่ายได้อร่อยแถมมัดใจชายได้ด้วย

คราวนี้เลยภูมิใจนำเสนอ "หลนปูเค็ม"อาหารที่เด็กกินได้ผู้ใหญ่กินดีรสชาติหวานๆเค็มๆมันๆ เครื่องปรุงก็หาง่ายไม่วุ่นวายอะไรเลย เพียงนำของที่มีอยู่ในครัวมาประยุกต์ก็ได้เมนูเด็ดแล้ว ว่าแล้วก็ชักหิวขึ้นมาตะงิดๆแล้วซิ ลงมือทำกันเลยดีกว่า

เครื่องปรุง

มะพร้าวขูด 300 กรัม
เนื้อหมูสับละเอียด1/4ถ้วย
น้ำปลา1ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น1ช้อนชา
หอมแดงซอย 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล2ช้อนชา
น้ำมะขามเปียก 4 ช้อนโต๊ะ
ใบมะกรูดฉีก1-2ใบ
พริกชี้ฟ้าหั่นแว่น1เม็ด
ผักชีเด็ดใบ
ปูนาดองเค็ม2ตัว
ผักสด

วิธีทำ
การทำหลนไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด เริ่มจากการนำปูที่ดองเค็มมาล้างให้สะอาด เพื่อชำระความเค็มบางส่วน ออกจากตัวปูไม่ให้เค็มเกินไป จากนั้นนำปูมาหั่นแล้วลวกพอสะดุ้ง แล้วหันมาคั้นมะพร้าวให้ได้ทั้งหัวกะทิและหางกะทิ จากนั้นตั้งกระทะให้ได้ไฟปานกลาง แล้วจึงเทหัวกะทิลงไปหมั่นคนอยู่ตลอดเวลา อย่าให้น้ำกะทิแตกมัน

เมื่อน้ำกะทิเริ่มเดือดจึงใส่หอมแดงซอยลงไป คนให้เข้ากันเมื่อได้ที่แล้ว จึงใส่เนื้อหมูสับละเอียดลงไปคั่วจนหมูสุกได้ที่ เติมหางกะทิลงไปพร้อมปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล เกลือและน้ำมะขามเปียก เคี่ยวจนเดือดใส่ปูเค็มลงไปต้มพอสุกแล้วตักขึ้นใส่ถ้วย จากนั้นโรยหน้าด้วยพริกชี้ฟ้า ใบมะกรูดผักชีฉีกกินคู่กับผักสดตามใจชอบ ยิ่งถ้าได้ข้าวสวยร้อน ๆสักจาน รับรองคนที่ได้ชิมรสมือคุณจะติดใจ

“หอยนางรมทอดกระเทียมพริกไทย” อร่อยง่ายๆในบ้าน





















"ร้อนเสียจริง ร้อนๆอย่างนี้กินอะไรไม่ค่อยลงเลย ยิ่งบรรยากาศการเมืองร้อนรุ่มยิ่งแย่ไปใหญ่ " ช่วงนี้หลายๆคน มักจะบ่นเช่นนี้ ก็แหม! อากาศอบอ้าวขนาดนี้หลายๆคนคงอยากไปเที่ยวทะเลคลายร้อน

"กุ๊กเล็ก" เอง ก็อยากไปเที่ยวทะเลเช่นกัน แต่ว่าเมื่อโอกาสไม่เอื้ออำนวย เราจึงสร้างบรรยากาศแห่งท้องทะเลขึ้นมาในจิตใจ พร้อมๆกับซื้อหาอาหารทะเลมาทำกินดับอารมณ์คิดคำนึงถึงท้องทะเล

สำหรับเมนูกลิ่นอายทะเลในมื้อนี้ก็คือ "หอยนางรมทอดกระเทียมพริกไทย" ที่เป็นเมนูทำง่ายกินง่าย ว่าแล้วเราก็เข้าครัวไปเตรียมส่วนผสมกันดีกว่า

ส่วนผสม

หอยนางรมขนาดใหญ่7-10 ตัว
พริกไทย 2 ช้อนโต๊ะ
กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ(หรือตามแต่จะถูกปาก)
น้ำมันสำหรับทอด

ส่วนวิธีทำก็เริ่มด้วยการนำหอยนางรมตัวใหญ่ไปล้างให้สะอาด ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นโขลกกระเทียม และพริกไทยจนละเอียด แล้วจัดแจงผสมน้ำปลากับน้ำตาลทรายเข้าด้วยกัน คนจนน้ำตาลละลาย นำหอยนางรมมาผสมรวมกันแล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที

เมื่อได้ที่แล้วก็นำลงไปทอดในน้ำมันร้อนไฟกลาง พอให้ออกสีเหลืองแล้วจึงตักขึ้น ใส่จานที่ประดับตกแต่งด้วยมะเขือเทศกับใบผักกาดหอม ให้แลดูน่ากิน เสร็จพิธีแล้วยกเสิร์ฟเป็นกับแกล้มหรือกับข้าวก็อร่อยไม่แพ้กัน และถ้าจะให้เด็ดสุดต้องกินตอนที่กำลังร้อนๆอยู่

งานนี้ทำง่ายกินง่ายแถมยังได้กลิ่นอายทะเลติดอารมณ์มาอีกด้วย



โดย กุ๊กเล็ก
ที่มา : http://www.manager.co.th

“หอยแมลงภู่ผัดฉ่า”รสเด็ด เผ็ดซาบซ่าน

เพื่อนของ “กุ๊กเล็ก” เคยถามคำถามแบบขำขำ ว่า “หอยอะไรเอ่ย??? บินได้”

แรกที่ได้ยินคำถามเราก็ยังงงๆ อยู่ว่ามันคือหอยอะไร เพราะที่ผ่านมาเคยแต่ได้ยินคำถามแนวลามกว่า “หอยอะไรเอ่ย???ลอยได้” แต่หอยอะไรบินได้ไม่เคยได้ยิน

แต่พอมัน เฉลยว่า “หอยแมลงภู่” เท่านั้นแหละ เราก็ถึงบางอ้อ เพราะว่าแมลงภู่นั้นบินได้ ก็เลยทำให้หอยแมลงภู่พลอยบินได้ไปด้วย

เออจริงของมันแฮะ แต่ “กุ๊กเล็ก” ขอย้ำว่านี่เป็นคำถามแบบขำขำ(หรือที่บางคนเรี่ยกว่าคำถามปัญญาอ่อนนั่นแหละ) ซึ่งคำถามประเภทนี้ส่วนใหญ่จะฮาเมื่อถามถูกกาลเทศะ และจะฮามากเมื่อใช้ถามในวงเหล้า

งานนี้“กุ๊กเล็ก” เลยถือโอกาสนำเจ้าหอยที่เพื่อนมันบอกว่าบินได้อย่างหอยแมลงภู่มาทำเมนูที่กินกับเหล้าก็เยี่ยมกินกับข้าวก็ยอด อย่าง “หอยแมลงภู่ผัดฉ่า” เสียเลย

สำหรับส่วนประกอบหอยแมลงภู่ผัดฉ่าก็มี

หอยแมลงภู่ 1.5 ถ้วยตวง
พริกขี้หนูสด 10-15 เม็ด(แล้วแต่รสนิยมในการกินเผ็ด)
กระเทียม 1 หัว
กระชายหั่นฝอย 1/4 ถ้วยตวง
พริกไทยอ่อน 1/4 ถ้วยตวง
ใบกะเพรา 1/2 ถ้วยตวง
น้ำปลา น้ำตาล น้ำมันหอย น้ำมันพืช


เมื่อเครื่องปรุงพร้อมก็ให้นำหอยแมลงภู่ไปลวกให้พอสุก จากนั้นแกะเปลือกออกเพียงข้างเดียว แล้วลงมือโขลกกระเทียมกับพริกขี้หนูเข้าด้วยกัน

จากนั้นใช้ไฟแรงตั้งน้ำมันให้ร้อน แล้วใส่พริกกระเทียมลงผัดให้หอม

สุดท้ายส่งหอยแมลงภู่ลงไปผัด แล้วตามด้วย พริกไทยอ่อน กระชาย ใบกะเพรา ผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน
แล้วจึงปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล น้ำมันหอย ตามใจชอบ

เสร็จสรรพยกเสิร์ฟหอยแมลงภู่ผัดฉ่าจานเด็ดรสเผ็ดซ่าน ซึ่งใครจะกินกับข้าวสวยร้อนๆ ก็เยี่ยม หรือใครจะกินกับเหล้ากับเบียร์เย็นๆ ก็ยอดไม่แพ้กัน

สดใส ซาบซ่า กับเครื่องดื่ม “เอล อินเฟอร์โน”

“ลมหนาวมาเมื่อไร ใจฉันคงยิ่งเหงา คืนวันที่มันเหน็บหนาวไม่รู้จะทนได้นานเท่าไร”

เสียงเพลงของทรี ฟอร์ ทรีดังแว่วมาจากวิทยุเครื่องโปรด แถมลมหนาวที่ห่างหายไปจากกรุงเทพฯนานพอสมควร ก็แวะเวียนมาทักทายด้วยการพัดมาเป็นระยะ หอบเอากลิ่นอายความหนาวเย็นมาฝากคนเมืองกรุงด้วย

เล่นเอา “กุ๊กเล็ก” ต้องห่อตัวด้วยความหนาวเหน็บ แถมนึกในใจว่าอากาศเย็นอย่างนี้ต้องหาเครื่องดื่มที่ช่วยสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องสดใส ซาบซ่า เหมือนอย่างเครื่องดื่มที่ชื่อว่ “เอล อินเฟอร์โน” (El Inferno)ที่เราได้สูตรมาจากโรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ สยามสแควร์ อย่ารอช้า ตาม “กุ๊กเล็ก” มาเลย

ส่วนผสม
แตงโม(ปลอกเปลือก) 3-4 ชิ้น
น้ำส้ม 6 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 1ช้อนโต๊ะ
น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
เหล้ารัม 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำแข็ง 1/3แก้ว

เมื่อได้ส่วนผสมครบแล้ว ก็มาถึงวิธีการทำ ขั้นตอนแรกให้นำส่วนผสมทั้งหมดเทลงในเชคเกอร์ที่บรรจุน้ำแข็งเอาไว้แล้ว หลังจากนั้นเพียงเขย่าแรงๆให้เข้ากัน เสร็จแล้วรินใส่แก้วพร้อมยกเข้าปากก็เป็นอันเสร็จพิธีสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายแถมยังอร่อยลิ้นอีกต่างหาก

“แฮมผัดขึ้นฉ่าย” ทำง่าย กินอร่อย

ฝนตกๆ อย่างนี้หลายคนคงบ่นอุบ และพากันหงุดหงิดใจ เพราะเวลาจะออกไปหาอะไรกินนอกบ้านแต่ละทีช่างลำบาก ไหนจะต้องฝ่าฝน และฝ่าการจราจรที่ติดขัด กว่าจะได้กินของอร่อยๆ กับเขาสักหนึ่งมื้อ

แต่สำหรับ “กุ๊กเล็ก” แล้วขอบอกว่าสบายมาก เพราะถึงแม้ว่าไม่ไปไหน เราก็ยังมีกระทะ หม้อ ชาม จาน มีด และเครื่องครัวอีกสารพัดอย่างเป็นเพื่อน และถ้าวันไหนหิวก็เตรียมเครื่องปรุงในเมนูที่อยากจะทำเดินเข้าครัว เท่านี้ก็ได้เมนูอาหารที่ต้องการแล้ว

อย่างกับมื้อนี้ที่ในตู้เย็น มีหมูแฮมกับผักขึ้นฉ่ายเหลือติดตู้เย็นอยู่ เราก็เลยหยิบจับมาปรุงเป็นเมนู “แฮมผัดขึ้นฉ่าย” เสียเลย สำหรับเมนูนี้ทำกินไม่ยาก และยังใช้เวลาในการปรุงไม่นาน ว่าแล้วเราไปเข้าครัวทำแฮมผัดขึ้นฉ่ายกันเลยดีกว่า

เครื่องปรุงที่ต้องเตรียม

ผักขึ้นฉ่ายหั่นเป็นท่อนสั้นๆ 2 ต้น
หมูแฮมหั่นเป็นชิ้นยาวๆ 3 แผ่น
เห็ดหอมหั่นเป็นชิ้นๆ 3 ดอก
แครอทหั่นฝอย 1 หัวเล็ก
กระเทียม สับละเอียด 2 หัวเล็ก
ซีอิ๊วขาว ซอสถั่วเหลือง น้ำมันหอย น้ำมันพืช

เมื่อเตรียมเครื่องปรุงกันเสร็จแล้ว ก็เดินหน้าเข้าครัวเคาะกระทะกันได้เลย โดยเริ่มจากเอากระทะตั้งไฟ ใช้ไฟกลางๆ แล้วใส่น้ำมันพืชลงไป พอน้ำมันเริ่มร้อนให้ใส่กระเทียมสับลงไปเจียวให้พอเหลือง

จากนั้นก็ใส่แฮม แครอท และเห็ดหอม ลงไปผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซอสถั่วเหลือง น้ำมันหอย ผัดส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากันอีกที และผัดต่อจนหมูแฮม แครอท และเห็ดหอมสุก ก็ใส่ขึ้นฉ่ายลงไปผัด ถึงตรงนี้ไม่ต้องผัดนานเอาแค่พอขึ้นฉ่ายสุกก็เป็นอันว่าใช้ได้แล้ว ตักใส่จานได้เลย กินกับข้าวสวยร้อนๆ รสชาติกลมกล่อมทั้งแฮมและขึ้นฉ่าย แถมมีกลิ่นขึ้นฉ่ายหอมๆ เวลาเคี้ยวอีกต่างหาก อ้ำ...อิ่มไปอีกหนึ่งเมนู

"เปาะเปี๊ยะทอด" สอดไส้ความอร่อย


ใครที่มองว่า "เปาะเปี๊ยะทอด" ทำยากนั้น "กุ๊กเล็ก" ว่าถ้าลองทำจริงๆจะรู้ว่าไม่ยากแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นส่วนผสมควรมีครบ เพื่อที่จะได้ทำเปาะเปี๊ยะออกมาได้อรรถรส โดยส่วนผสมไส้เปาะเปี๊ยะมีดังนี้

แผ่นเปาะเปี๊ยะ 10 -15 แผ่น
เห็ดหอม (หรือจะใช้เป็นเห็ดหูหนูก็ได้) 3 ดอก
วุ้นเส้นแช่น้ำให้นุ่มตัดเป็นท่อนสั้นๆ 1/2 ถ้วย
หมูสับ 2 ขีด
ไข่ไก่ 1 ฟอง
แครอทหั่นฝอย 2 ขีด
ถั่วงอกเด็ดหาง 1/4 ถ้วย
น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว รากผักชี กระเทียม พริกไทย พอประมาณ
น้ำมันพืชสำหรับทอด และน้ำเปล่าสำหรับทาแผ่นเปาะเปี๊ยะ

เมื่อเตรียมส่วนผสมได้แล้วก็ลงมือได้เลย โดยเริ่มจากผสมเนื้อหมู ไข่ไก่ แครอท เห็ดหอม ถั่วงอก พริกไทย น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว และวุ้นเส้นคลุกเคล้าเข้ากัน จากนั้นก็โขลกรากผักชี กระเทียม พริกไทย ทั้งหมดให้ละเอียด ตั้งกระทะใส่น้ำมัน เอาที่โขลกลงผัดให้หอม ตามด้วยส่วนผสมไส้เปาะเปี๊ยะที่คลุกไว้ ผัดพอสุกแล้วตักขึ้นมาพักไว้

แล้วก็ถึงขั้นตอนการห่อเปาะเปี๊ยะ โดยถ้าแผ่นเปาะเปี๊ยะบางไป ก็ให้วางซ้อนกันสองแผ่น ตักไส้ใส่ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วม้วนแผ่นเปาะเปี๊ยะให้แน่นเป็นแท่งกลม ๆ พับหัวท้าย ทาขอบแผ่นเปาะเปี๊ยะด้วยน้ำเปล่า จากนั้นก็ใส่น้ำมันในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อน ใส่เปาะเปี๊ยะลงไปทอดให้สุกเหลืองแล้วตักขึ้น พักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน

สำหรับส่วนผสมของน้ำจิ้มประกอบด้วย พริกชี้ฟ้าแดงโขลก 5 เม็ด ,น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ,เกลือป่น 1/2 ช้อนชา ,น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ ซึ่งพอส่วนผสมครบก็แค่ผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน แล้วตั้งไฟอ่อนๆ เคี่ยวจนน้ำตาลละลายและเหนียวก็ยกลง หั่นเปาะเปี๊ยะเป็นชิ้นพอคำ จัดใส่จาน เสิร์ฟพร้อมกับผักและน้ำจิ้ม อิ่มอร่อยไปได้อีกมื้อ



โดย กุ๊กเล็ก
ที่มา : http://www.manager.co.th

Labels

ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าทะเล (1) การทำธุรกิจ ร้านสเต็ก (1) การทำสูตรน้ำเกรวี่ราดสเต็ก (1) กุ้งทอดไข่ (1) แกงจืดไข่ 2 สี (1) แกงเลียงผักรวมกุ้งสด (1) แกงส้มชะอมชุบไข่ทอด (1) ไก่ผัดเหล้า (1) ข้าวคลุกกะปิ (1) ข้าวต้มกุ้ง (1) ข้าวผัดไข่ (1) ข้าวผัดทะเลใต้ (1) ข้าวผัดธัญพืช (1) ข้าวผัดน้ำพริกกุ้งสด (1) ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ (1) ข้าวผัดมันกุ้ง (1) ข้าวผัดสับปะรด (1) ข้าวผัดหมู (1) ข้าวผัดหมูแดง (1) ข้าวมันไก่ (1) ข้าวหมกไก่ (1) ไข่กระทะ (1) ไข่เจียว (1) ไข่เจียวกุ้งสับ (1) ไข่ตุ๋นต้มยำหม้อไฟซาร์ดีนกับข้าวผัดหมูแดง (1) ไข่ตุ๋นนมสด (1) ไข่ตุ๋นในพริกหวาน (1) ไข่น้ำ (1) ไข่ยัดไส้ทูน่าปรุงรสผัดพริก (1) ไข่เยี่ยวม้าผัดกะเพรากรอบ (1) เจ (1) ใจผักผัดปลิงทะเลน้ำแดง (1) ซกเล็ก (1) ซี่โครงหมูสามรส (1) ตับผักกาดดองซีโครงหมูแบบญวน (1) ทอดมันกุ้ง (1) ทอดมันหมู (1) น้ำจิ้มปลาม้วน (1) น้ำพริกปลาทูน่า (1) เนื้อผัดน้ำมันหอย (1) เนื้อส่วนไหน ทำสเต็ก (1) แบบกุ้งเต็ม ๆ คำ (1) ปลากะพงน้ำแดง (1) ปลาช่อนย่างแซบ (1) ปลาทอง (1) ปลาทอดราดข้าวโพดผัดน้ำมันหอย (1) ปลาทูทอดแป้ง (1) เปาะเปี๊ยะทอด (1) ผักกูดผัดน้ำมันมะกอก (1) ผัดเมล็ดถั่วลันเตากับหอยเชลล์ (1) มะเขือเทศสอดไส้ข้าวปรุงรส (1) มะระขี้นกผัดไข่เค็มกระเทียมโทนดอง (1) ยำ (13) ยำกุนเชียง (1) ยำไก่ย่าง (1) ยำไข่ดาวเบคอน (1) ยำไข่ต้มอย่างไทย (1) ยำถั่วพู (1) ยำทูน่าฟู (1) ยำวุ้นเส้นไส้กรอก (1) ยำหมูยอ (1) ยำเห็ดหูหนูขาว (1) ยำแอ๊ปเปิ้ลไข่ต้ม (1) รวมทะเลจานร้อน (1) รวมเห็ดน้ำแดงเจ (1) โรซ่าผัดหนวดมังกร (1) ลินกวีนีผัดไทยไข่ห่อ (1) ลูกชิ้นเผือกสอดไส้ไข่เค็ม (1) วิธีการทำ สเต็ก (Steak) (1) ไวไวผัดฉ่าทะเลแห้ง (1) ส้มตำ (1) สูตร ราเมง (1) เส้นราเมง (1) หมูน้ำตก (1) หมูมะนาว (1) หมูสะระแหน่ (1) หมูสับปะรด (1) หลนเต้าเจี้ยว (1) หลนเนื้อเค็ม (1) หลนปูเค็ม (1) หอยเชลล์ผัดผักโสภณ (1) หอยนางรมทอดกระเทียมพริกไทย (1) หอยแมลงภู่ผัดฉ่า (1) หอยลายผัดพริกแกง (1) แหนมผัดไข่ (1) อาชีพเกี่ยวกับอาหาร (1) อาชีพอิสระ (4) อาชีพอิสระ เกี่ยวกับอาหาร (1) อาหารที่ควรมีไว้ติดตู้เย็น (1) เอล อินเฟอร์โน (1) ฮาวายเอี้ยนพอร์คชอพ (1) แฮมผัดขึ้นฉ่าย (1) FRIED RICE WITH ROAST PORK FLAVOR (1) Ramen (1)

Followers